กฤษณา เป็นไม้ที่กล่าวถึงนับแต่ครั้งพุทธกาลในฐานะ ของที่มีค่าหายาก ราคาแพงดั่งทองคำ เป็นหนึ่งในของหอมธรรมชาติสี่อย่างที่เรียกว่า จตุรชาติสุคนธ์ ไม้กฤษณาเป็นสินค้าต้องห้ามของประชาชนทั่วไปเพราะมีกฎหมายให้ค้าขายได้เฉพาะกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ ต้นกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม้กฤษณาถูกใช้เป็นเครื่องราชบรรณาการ และเป็นสินค้าไปเมืองจีน สรรพคุณของกฤษณาแพร่กระจายไปถึงคาบสมุทรอาหรับในตะวันออกกลาง อาณาจักรกรีก โรมัน อียิปต์โบราณและ ผลผลิตจากต้นกฤษณามีเฉพาะในเอเชีย โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น “ไม้กฤษณา” จึงเป็นสัญลักษณ์ตะวันออกและสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยในปัจจุบัน
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 20-30 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ เนื้อไม้มีสีขาว ต้นไม้ชนิดนี้หากมีบาดแผลซึ่งอาจเกิดจากการตัด แมงเจาะใช หรือเป็นโรคจะขับสารชนิดหนึ่งที่อยู่ในลำต้น ออกมาทำหน้าที่ต้านความผิดปกติเหล่านั้น ทำให้บริเวณที่เกิดแผลดังกล่าวเปลี่ยน เป็นสีดำและก่อตัวเป็นผลึก
ทำให้เกิดความ แข็งแกร่งของเนื้อไม้ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า กฤษณา มีกลิ่นหอม ความผิดปกติ จะขยายไปเรื่อยๆ ทำให้สีดำมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแก่นกฤษณา ที่มีสีดำนั้น ถือว่าเป็นไม้คุณภาพชั้นหนึ่ง มีราคาสูงมาก หากมีสีน้ำตาลเทา คุณภาพจะรองลงมา ถ้ามีสีเหลืองปนดำ ถือว่าเป็นคุณภาพต่ำ ซึ่งไม้กฤษณาเป็นสินค้าที่นำมาทำ หัวน้ำหอม ตลอดจนเครื่องหอมหลายชนิด
ในปัจจุบันมีประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไม้กฤษณาออกไปจำหน่ายทั่วโลกอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามอนุสัญญาไซเตส และได้ขึ้นทะเบียนไม้ที่ปลูกกับไซเตรสไว้ครั้งแรกจำนวน 7,404,452 ต้น ซึ่งปัจจุบันมีการปลูกทั่วประเทศประมาณ 15 ล้านต้น และไม่เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
(1061)