แอ่งภูเขาไฟรูปกระจาด : Caldera

แอ่งภูเขาไฟรูปกระจาด : Caldera เป็นแอ่งภูเขาไฟที่มีขอบแอ่งเอียงชันลาดลงสู่ก้นแอ่ง อาจมีหรือไม่มีกรวยภูเขาไฟขนาดต่างๆ โผล่อยู่ที่ก้นแอ่งก็ได้ แอ่งภูเขาไฟแบบนี้เกิดขึ้นจากการระเบิดอย่างรุนแรงและฉับพลันในส่วนลึกลงไปของภูเขาไฟ โดยมีพลังระเบิดมากพอที่จะผลักดันส่วนบนให้กระจัดกระจายออกไปรอบทิศทาง

 

ทำให้ปริมาณหินมหาศาลเคลื่อนย้าย เกิดเป็นรอยรูปกระจาดขึ้น หลังจากนั้น การระเบิดย่อยๆ หรือการหลั่งไหลของลาวาขึ้นสู่ผิวพื้นก้นกระจาด ก็อาจทำให้เกิดกรวดภูเขาไฟย่อยๆ หรือใหญ่ๆ ขึ้นท่ามกลางแอ่งก้นกระจาดอีกต่อหนึ่ง

 

ตัวอย่างภูมิประเทศแบบนี้เห็นได้ชัดที่ หมู่เกาะกรากะตัว ประเทศอินโดนีเซีย ภูเขาไฟตาอาล ใกล้เมืองมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และที่ภูเขาไฟวิสุเวียส ในประเทศอิตาลี ในประเทศไทยนั้น มีตัวอย่างที่เข้าใจว่าเป็นแอ่งภูเขาไฟเล็กๆ แบบนี้ที่เขาหลวง อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย อันเป็นภูเขาไฟที่สงบแล้ว

เครเตอร์เป็นปากปล่องที่มีลักษณะเป็นแอ่งค่อนข้างกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 1 กิโลเมตร เป็นผลจากการปะทุของก๊าซและตะกอนภูเขาไฟ ส่วนแอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดมีลักษณะคล้ายเครเตอร์แต่มีขนาดใหญ่กว่าตั้งแต่ 1 ถึง 50 กิโลเมตร มีรูปร่างกลมถึงค่อนข้างรีมักถูกปิดทับด้วยน้ำฝนหรือหิมะ เกิดจากการแตกหักของโครงสร้างภูเขาไฟทำให้ชั้นหินหลอมเหลวใต้ภูเขาไฟเกิดการทรุดหรือยุบตัวลง

 

อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนมีชื่อเสียงในเรื่องของกีเซอร์และน้ำพุร้อน ถือเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงการมีระบบแมกมาที่มียังพลังอยู่ ระบบแมกมานี้เคยทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกที่เรียกได้ว่า Supervolcanos มาแล้วหลายครั้ง หนึ่งในนั้นสร้างแอ่งภูเขาไฟรูปกระจาดที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงประมาณ 50 ไมล์ (ประมาณ 80 กิโลเมตร)

หอสังเกตการณ์ภูเขาไฟในเยลโลว์สโตนตรวจจับแผ่นดินไหว การเสียรูปของพื้นดิน การไหลและอุณหภูมิของกระแสน้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พบว่ามีกลุ่มของแผ่นดินไหวเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ทำให้แผ่นดินยกตัวขึ้นและลำธารมีการเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณและอุณหภูมิของน้ำ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกว่าจะมีการระเบิดของภูเขาไฟเกิด ขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

 การระเบิดของภูเขาไฟในเยลโลว์สโตนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อ 70,000 ปีก่อน ทำให้เกิดลาวาหลากของที่ราบสูง Pitchstone ลาวาหลากนี้มีขนาดเท่ากับวอชิงตัน ดีซี และหนามากกว่า 100 ฟุต (30 เมตร) ใต้ Yellowstone มีจุดศูนย์รวมความร้อน (hotspot) อยู่ จุดศูนย์รวมความร้อนเป็นมวลของวัสดุร้อนที่ลอยผ่านชั้นแมนเทิลของโลกขึ้นมา มันจะส่งผ่านความร้อนออกสู่พื้นที่รอบๆแล้วกลายเป็นแรงขับดันในเปลือกโลกที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวและไม่บ่อยนัก ทำให้เกิดภูเขาไฟระเบิด

(205)