Alcatraz Island เกาะนักโทษกลางอ่าวซานฟรานซิสโก

เกาะอัลคาทราซ หรือ  เดอะร็อค คือเกาะเล็กๆ กลางอ่าวซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเกาะแห่งนี้ ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางอ่าวตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิเยือกแข็งและคลื่นลมแรง มีดินแห้งแล้ง ทำให้ปลูกพืชผักได้ปริมาณน้อยมาก จึงกลายเป็นที่ตั้งของประภาคาร ป้อมปราการของกองทัพ และคุกจนถึงปี 1963

เกาะอัลคาทราซได้รับการพิจารณาให้ใช้เป็นคุกขังนักโทษตั้งแต่ปี 1861 เคยใช้เป็นที่รองรับนักโทษทางการเมืองจากรัฐต่างๆ ช่วงสงครามสเปน-อเมริกัน ในปี 1898 มีจำนวนนักโทษเพิ่มขึ้นจาก 26 คน เป็น 450 คน หลังจากนั้นในปี 1906 เกิดแผ่นดินไหวในซานฟานซิสโก บรรดานักโทษจึงถูกย้ายออกจากเกาะเพื่อความปลอดภัย ในปี 1912 ได้มีการก่อสร้างคุกขนาดใหญ่ขึ้นใจกลางเกาะ

ช่วงปี 1850-1933 เกาะแห่งนี้อยู่ในอำนาจของกองทัพสหรัฐ ก่อนจะตกไปอยู่ภายในการดูแลของกระทรวงยุติธรรม เพื่อใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดและปราศจากสิทธิพิเศษใดๆ เป็นการแสดงประสิทธิภาพทางกฏหมาย เพื่อลดคดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงปี 1920 และปี 1930

ในคุกแห่งนี้เป็นสถานคุมขังนักโทษระดับแถวหน้าของประเทศ เจ้าพ่อมาเฟีย โจรปล้นธนาคาร รวมถึงอาชญากรสุดโหด ทำให้ต้องมีเจ้าหน้าที่พิเศษ FBI กว่า 60 คน และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางกองทัพคอยดูแล จัดได้ว่าเป็นคุกที่มีความเข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

แม้มีนักโทษมากมายตายอยู่ที่นี่ แต่ความเป็นอยู่ก็ดีกว่าคุกที่อื่นมาก โดยมีนักโทษจำนวน 260-275 คน จากการรองรับนักโทษได้สูงสุด 336 คน นักโทษจึงมีห้องขังส่วนตัว หนึ่งคนต่อหนึ่งห้องไม่ต้องแออัดกับใคร รวมถึงมีนักโทษจำนวนมากถูกพิพากษาไว้ชีวิต ทำให้มีนักโทษขอย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นบางครั้ง

กระนั้นก็เหมือนคุกทั่วไปที่มีนักโทษพยายามแหกคุก โดยมีสถิติทั้งหมด 14 ครั้ง 36 คน แน่นอนว่าไม่มีใครรอดไปได้ นักโทษกว่า 23 คนถูกจับกลับมาโดนซ้อมปางตาย 6 คนถูกยิงเสียชีวิต อีก 7 คนหนีออกมาได้แต่กลับต้องเสียชีวิตลงในอ่าวซานฟรานซิสโก จากความหนาวเย็นและฉลามรอบเกาะ

  

จนกระทั่งค่ำคืนของวันที่ 11 มิถุนายน 1962 แฟรงค์ มอร์ริส, คลาเรนซ์และจอห์น แองกลิน ได้หนีหายออกไปจากคุก โดยพวกเขาได้ใช้เวลากว่า 8 เดือน ใช้ช้อนขุดท่อระบายอากาศ โดยขุดช่วงใกล้ค่ำในชั่วโมงที่นักโทษได้รับอนุญาตให้เล่นดนตรีได้ เพื่อใช้เสียงดนตรีกลมการขุดฝาผนังจนถึงสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาเข้านอน มีการเตรียมหัวปลอมจากกระดาษทิชชู่ สีและเส้นผมแปะติดให้เหมือนคนนอน ในส่วนของสีนั้นได้มาจากงานอดิเรกในการวาดภาพของพวกเขา

คาดการณ์ว่า พวกเขาออกจากเกาะโดยการทำแพยางจากเสื้อกันฝนกว่า 50 ตัว ซึ่งได้มาจากเพื่อนนักโทษและเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่า ถ้าเดินไปขอเอาดื้อๆ เจ้าหน้าที่คงไม่ให้ จะแถมให้สักหมัดอีกด้วย แต่หนึ่งในกลุ่มพวกเขามีนายช่างซ่อมบำรุง ทำให้สามารถแอบเก็บอุปกรณ์ ที่ต้องใช้อำนวยความสะดวกในแผนการหนีได้ เช่น การขอเจ้าหน้าที่เบิกเสื้อกันฝนมาคลุมกองงานที่ค้างอยู่

เดิมทีแผนการหนีนี้ มีผู้ร่วมอุดมการณ์ 4 คน เพียงแต่ท่อที่ขุดเล็กเกินไปจึงติดไหล่ 1 คน เขาบอกเพื่อนว่าขอเวลาอีก 2 วัน เพื่อขุดเพิ่มให้พอดีตัว แต่เพื่อนทั้งสามไม่รอ ปัจจุบันยังยืนยันไม่ได้ว่า ทั้งสามคนยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เนื่องจากหลักฐานที่มียังไม่เพียงพอ แม้จะมีการ์ดส่งกลับมายังครอบครัวแต่ก็ยังตรวจสอบไม่ได้ว่าเป็นของจริง

คุกแห่งนี้ได้ปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 20 มีนาคม 1963 จากคำสั่งของ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเรือนจำแห่งนี้มีมากเกินไป อีกทั้งตัวอาคารและสิ่งปลูกสร้างบนเกาะได้ถูกกัดกร่อนจากเกลือจากน้ำทะเลจนเสื่อมสภาพ หลังจากนั้นได้เปลี่ยนเป็นศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้แก่คนในพื้นที่ แต่ก็ทำได้เพียง 2 ปี ก็ต้องปิดไป

จากกิตติศัพท์ของคุกที่โหดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้มันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาตร์ ซึ่งมีคนเดินทางไปเยี่ยมชมมากมาย นักท่องเที่ยวบางส่วนเปิดเผยว่าพวกเขาได้ยินเสียงประหลาดอยู่เสมอ อาทิ เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง รวมถึงเสียงหวีดร้องจากห้องใต้ดิน ซึ่งยังคงได้ยินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้คุกจะปิดตัวไปนานมากก็ตาม รวมถึงการเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Escape from Alcatraz และซีรีย์ Alcatraz ทางช่อง Fox

(2218)